บริการปรึกษาด้านกฎหมาย รับว่าความทั่วประเทศ ติดตามได้ตลอด 24 ชม.

เว็บไซต์จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างการให้บริการในธุรกิจสำนักงานกฏหมาย และทนายความ ไม่มีการดำเนินการจริงแต่อย่างใด ข้อความ และรูปภาพต่างๆ นำมาจากใน internet และได้อ้างอิงถึงเนื้อหาไว้เรียบร้อยแล้ว และขอบคุณสำหรับรูปภาพ และเนื้อหาบทความต่างๆ
  • รับว่าความทั่วประเทศ
  • รับเขียน เเละ ยื่นคำให้การในชั้นศาล
  • รับปรึกษาปัญหาทางคดีทุกประเภท
รายการทั้งหมด

ทีมงาน และบรรยากาศ

Lawyer

คุณไกรลาส ทนายความมือหนึ่ง เชี่ยวชาญ รับว่าความทั่วประเทศ

Assistant lawyer

คุณเกสร เธอแม่นทุกตารางงาน ตรวจงานละเอียด เนียบที่สุด

Clerk

คุณนิศรา เสมียนออฟฟิศ ดูแลเอกสาร ตามเอกสารให้ทนายความได้อย่างครบถ้วน

VDO
Praesentation

สนใจติดต่อทีมงานมืออาชีพ พร้อมให้บริการ 24 ชั่วโมง

รีวิวลูกค้าจริง K-LAW

ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่รีวิวให้ ทางเราจะพัฒนาการให้บริการดียิ่งขึ้นค่ะ

คุณจ๊อบ / คดีบัตรเครดิต

" ให้คำเเนะนำ เเละ ให้คำปรึกษาเรื่องอายุคดีความดีมากครับ "

26 พ.ย. 2558

คุณส้ม / คดีกู้ยืมเงิน

" ได้เงินคืนมาเเล้วค่ะ ขอบคุณมากๆที่คำปรึกษาเเละคำเเนะนำดีมากๆ "

10 ม.ค. 2563

คุณจุ้ย / คดีเช่าซื้อรถยนต์

" ทีมงานเเละทนายมีความรู้ให้คำเเนะนำได้ดีเเละเชี่ยวชาญในชั้นศาลมากค่ะ "

26 พ.ย. 2558

K-Law รับว่าความทั่วประเทศ รับปรึกษาปัญหาด้านกฏหมาย

เว็บไซต์จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างการให้บริการในธุรกิจสำนักงานกฏหมาย และทนายความ ไม่มีการดำเนินการจริงแต่อย่างใด ข้อความ และรูปภาพต่างๆ นำมาจากใน internet และได้อ้างอิงถึงเนื้อหาไว้เรียบร้อยแล้ว และขอบคุณสำหรับรูปภาพ และเนื้อหาบทความต่างๆ

ครม. ไฟเขียวลดค่าธรรมเนียมโอนของธนาคารที่ดินเหลือ 0.01% ถึง 7 มิ.ย.68

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. ซึ่งเป็นไปตามนโยบายกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจนและให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เหมาะสม โดย บจธ.ได้ดำเนินงานผ่าน 2 โครงการ คือ โครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน และโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน
 
สาระสำคัญของร่างประกาศฯ ดังกล่าว้ป็นการลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของ บจธ.เกี่ยวกับค่าจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ จากอัตรา 2% และ 1% เหลืออัตรา 0.01% ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 7 มิ.ย.68
 
“การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของ บจธ.ในปีงบประมาณ 2565-2568 คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณหลายหมื่นล้านบาท แต่จะเป็นโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยลดค่าใช้จ่ายการจดทะเบียนและการทำนิติกรรมของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม และยั่งยืนแก่ประชาชนตามนโยบายรัฐบาล” น.ส.รัชดา ระบุ
 
สำหรับ บจธ.จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 เพื่อทำหน้าที่กระจายการถือครองที่ดินให้ประชาชนอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน โดยมีเป้าประสงค์ช่วยให้เกษตรกรและผู้ยากจนได้ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างทั่วถึง และรัฐสามารถนำที่ดินที่ไม่มีการใช้ประโยชน์มาบริหารจัดการให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
 
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา สามารถกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนให้แก่เกษตรกรและผู้ยากจนได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสม รวมเนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ สามารถแก้ปัญหาที่ดินของเกษตรกรที่หลุดการจำนองและการฝากขายได้กว่า 3,000 ไร่ รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนจัดการที่ดินร่วมกัน ทั้งที่ดินทำกิน และที่ดินอยู่อาศัยในรูปแบบโฉนดชุมชนด้วย
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.sanook.com/money/874847/
26 ก.พ. 2567

ข่าวดี! กยศ.ขยายเวลาลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน ถึง 30 มิ.ย.66

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้หนี้ภาคครัว โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยเป็นอย่างมาก ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เป็นหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งทางกยศ.ได้กำหนดมาตรการในการช่วยเหลือ อาทิ การลดเบี้ยปรับ การลดเงินต้น รวมถึงได้ดำเนินการอื่นๆ เช่น ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกัน ชะลอการฟ้องร้องคดี งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินและหรือผู้ค้ำประกัน
 
ล่าสุด กยศ. ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 65 ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุน รวมถึงช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มีทางเลือกในการผ่อนชำระมากขึ้น สำหรับมาตรการลดหย่อนหนี้ มีดังนี้
1. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิม 1% ต่อปี เป็น 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้
2. ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว
3. ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ หรือไม่ค้างชำระ
4. ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
5. ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี
ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ https://www.studentloan.or.th/promotion โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
 
ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดช่องทางการชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการดังกล่าวได้ที่ www.studentloan.or.th โดยตรวจสอบยอดชำระได้ที่แอปพลิเคชั่น กยศ. Connect หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. หรือโทร. 0-2016-4888
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.sanook.com/money/890995/
26 ก.พ. 2567

หนี้ท่วมหัว! เอาตัวให้รอด แนะวิธีรวมหนี้ช่วยลดภาระ

หลายคนมีหนี้ที่ต้องจ่ายรายเดือนรวมกันแล้วเยอะมาก ทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้เงินกู้ส่วนบุคคล หมุนเงินกันมือเป็นระวิง บางคนจำได้แค่ขั้นต่ำ ทำให้โอกาสหลุดจากการเป็นหนี้นั้นยากมาก ดังนั้น การรวมหนี้ คือ หนทางออกของคนที่กำลังรู้สึกว่าจะแบกหนี้ที่มีอยู่ต่อไปไม่ไหว
 
ซึ่งการรวมหนี้ในที่นี้ คือการที่เรานำหนี้ที่เรามีอยู่จากหลาย ๆ ที่ทั้งในและนอกระบบ หรือจากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ เอามารวมไว้ที่เดียวกัน เพื่อขออนุมัติสินเชื่อกับสถาบันการเงินในระบบมาปิดหนี้ดอกแพงทั้งหมดนี้ทันที แล้วมาเลือกผ่อนเป็นรายงวดคืนให้กับธนาคารด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจในการปิดหนี้
 
โดยหนี้ที่ควรนำมารวมเป็นก้อนเพื่อจ่ายเพียงยอดเดียวนั้นควรเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้ที่ต้องจ่ายเพื่อการรักษาพยาบาล หรือหนี้จากการกู้เงินส่วนบุคคล เนื่องจากหนี้เหล่านี้มีดอกเบี้ยที่แพง และถ้าสามารถรวมเป็นก้อนเดียวได้ จะทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทุกเดือนนั้นลดลง และในเวลานี้ก็มีหลายธนาคารปล่อยให้กู้เพื่อนำมาโปะหนี้ และทำให้หนี้ที่คุณมีอยู่กลายเป็นหนี้ก้อนเดียว ทำให้คุณสามารถหายใจต่อเดือนได้มากขึ้น ส่วนเหตุผลที่คุณควรจะรวมหนี้เพื่อให้เป็นหนี้ก้อนเดียวนั้นมีอะไรบ้างมาดูกัน
 
ช่วยลดดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือน
หากคุณมีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ และไม่สามารถชำระได้เต็มจำนวน หรือจ่ายได้เฉพาะขั้นต่ำ การรวมหนี้คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นวิ่งตลอด และเงินที่คุณนำไปชำระขั้นต่ำนั้นไม่ได้ชำระดอกเบี้ยสักเท่าไร แต่การรวมหนี้ให้เหลือเพียงก้อนเดียวจะลดดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือนด้วย
 
ช่วยลดการชำระหนี้ต่อเดือน
หากคุณมีบัตรเครดิตอยู่สี่ใบ และชำระขึ้นต่ำทุกใบ ตกใบละ 3,000 บาท เท่ากับคุณต้องจ่ายต่อเดือน 9,000 บาท แต่ถ้าคุณรวมหนี้ทั้งสามใบเป็นก้อนเดียว และชำระเฉพาะเงินที่กู้มาก้อนนี้ โดยที่หยุดการใช้บัตรเครดิตด้วย จะทำยอดชำระต่อเดือนของคุณลดลง และทำให้คุณมีช่องที่จะเหลือเพื่อหายใจได้บ้าง
 
ลดความซับซ้อนในการชำระหนี้
การเป็นหนี้ในแต่ละรูปแบบนั้นมีวิธีการคำนวนดอกเบี้ยที่แตกต่างกันไป บางครั้งก็จะยุ่งยากในการนำเงินไปชำระ เมื่อรวมหนี้เป็นก้อนเดียวจะทำให้เรื่องเหล่านี้หมดไป และทำให้คุณควบคุมหนี้สินของตนเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีหลายธนาคารที่ต่างจัดโปรโมชันลดดอกเบี้ยสำหรับลูกค้า ที่อยากรวมหนี้ไว้ก้อนเดียวซึ่ง Tonkit360 ได้รวบรวมมาให้แล้วดังนี้
 
ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต
ช่วยเหลือลูกค้าที่มีภาระหนี้ดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบุคคล ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 16-25% ต่อปี เพียงแค่รวบหนี้มาอยู่กับ ทีทีบี โดยใช้บ้านหรือรถมาค้ำประกัน เพื่อช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ด้วย “สินเชื่อบ้านแลกเงิน เคลียร์หนี้” ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 4.83% ต่อปี ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นเพียงล้านละ 5,900 บาท หรือ “สินเชื่อรถแลกเงิน เคลียร์หนี้” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 3.20% ต่อปี ผ่อนเบา ๆ เพียงแสนละ 59 บาทต่อวัน โดยตั้งแต่เปิดให้บริการดังกล่าวนี้ ทาง ทีทีบี ได้ช่วยรวบหนี้ให้แก่ลูกค้าไปแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท ช่วยลดภาระค่าดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 180 ล้านบาท
 
บริการรวบหนี้เป็นก้อนเดียวกับทีทีบี มีจุดเด่นที่แตกต่างจากบริการสินเชื่ออื่น ๆ
1.การพิจารณาสินเชื่อครั้งนี้จะไม่นำภาระหนี้ที่ต้องการจะรวบมาคิดภาระหนี้ซ้ำ ลูกค้าจึงเบาใจได้ว่าแม้มีภาระหนี้สูงก็สามารถใช้บริการนี้ได้
2. มีบริการปิดหนี้กับสถาบันการเงินเดิมให้ลูกค้าหลังจากที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว จึงช่วยปิดหนี้ได้ตามที่ตั้งใจไว้
3. ลูกค้าเหลือหนี้ทางเดียวกับ ทีทีบี ที่ดอกเบี้ยถูกลง ค่างวดลดลง ช่วยลดภาระหนักจากค่างวดแต่ละเดือน ทำให้มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายกับเรื่องจำเป็นได้มากขึ้น หรือกรณีที่มีเงินเหลือจากรวบหนี้แล้ว ลูกค้าจะได้รับเงินก้อนเข้าบัญชีเพื่อใช้เสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
 
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
บริการรวมยอดสินเชื่อบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ดอกเบี้ยต่ำ รวมยอดสินเชื่อไว้ที่เดียว ครบจบกับบริการ Balance Transfer จากเฟิร์สช้อยส์ ลดภาระ อนุมัติไว ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน รับดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 12.99 % ต่อปี** และรับกระเป๋าเดินทาง Caggioni ขนาด 20 นิ้ว 1 ใบ มูลค่า 4,500 บาท***
 
ธนาคารยูโอบี
สินเชื่อปิดบัตรเครดิต UOB เป็นสินเชื่อที่ให้วงเงินกู้สูงสุด 2,000,000 บาท พร้อมรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5.99-9.99% (2 เดือนแรก) ตามเงื่อนไขที่กำหนด อนุมัติภายใน 3 วัน หลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน หรือหากใครเปลี่ยนใจไม่ต้องการใช้เงินแล้วก็สามารถยกเลิกวงเงินได้ภายใน 7 วัน หลังได้รับอนุมัติ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม อายุผู้สมัคร 20-60 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.99-24.99% ต่อปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
 
ธนาคารออมสิน
อีกหนึ่งสินเชื่อปิดบัตรเครดิต ธนาคารออมสิน 2565 ที่หลายคนสนใจ เพราะกู้ง่าย ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และให้วงเงินกู้สูงสุด 10 เท่าของรายได้ ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 7 ปี วงเงินให้กู้ สูงสุด 10 เท่าของรายได้ หรือไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 9.99% (MRR + 3.745) ถึง 13.99% (MRR + 7.745) ต่อปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
 
ทั้งหมดนี้คือข้อดีของการทำให้หนี้เป็นก้อนเดียว ซึ่งจะทำให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของตนเองได้ สามารถแบ่งเงินเก็บเอาไว้ยามฉุกเฉินได้เพราะไม่ต้องชำระหนี้หลายทาง แต่เหนืออื่นใด เมื่อคิดจะรวมหนี้เป็นก้อนเดียวและไปทำเรื่องกู้กับสถาบันการเงิน คุณต้องมีการวางแผนทางการเงินที่ดี และมีวินัยทางการเงินมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้ว การรวมหนี้ให้เหลือเพียงก้อนเดียว อาจเป็นการเพิ่มหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นมาอีกก้อนก็ได้
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.sanook.com/men/82069/
26 ก.พ. 2567

ติดต่อเรา

71/2-13 โครงการโอโซนพลาซ่า ห้อง H1C,H2C ถนนคู้บอน แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงทพฯ 10230

Our Phone

Facebook

Our Line

ส่งข้อความหาเรา

ลูกค้าสามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการสอบถามได้จากฟอร์มด้านล่าง เมื่อทีมงานได้รับข้อความแล้ว จะติดต่อกลับลูกค้าโดยเร็วที่สุด

คดีถอนอำนาจปกครองบุตร

สาเหตุที่ใช้ถอนฟ้องอำนาจปกครองบุตร มีดังนี้
1.ผู้มีอำนาจปกครองบุตรประพฤติตนไม่เหมาะสม คือ ดื่มสุราเป็นอาจิณ ไม่ดูแลบุตร หรือชอบเล่นการพนันและยาเสพติด ละทิ้งไม่เอาใจใส่เลี้ยงดู ลงโทษบุตร เฆี่ยนตีอย่างรุนแรงและทารุณ
2.ผู้มีอำนาจปกครองบุตร ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นเสมือนคนไร้ความสามารถ หรือ เป็นบุคคลล้มละลาย
3.ผู้มีอำนาจปกครองบุตรประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เช่น ข่มขีนกระทำชำเรา บังคับให้บุตรเป็นโสเภณี หรือบังคับให้บุตรไปขอทาน
4.ผู้มีอำนาจปกครองบุตร ปล่อยปะละเลยให้บุตรประพฤติชั่ว หรือยุยงให้บุตรกระทำผิดกฏหมาย เช่น สอนให้ลักขโมย ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือ สอนให้บุตรใช้สารเสพติด
5.ผู้มีอำนาจปกครองบุตรจัดการทรัพย์สินของบุตรในทางที่ผิด หรือเอาทรัพย์สินของบุตรมาใช้ส่วนตัวเกินความจำเป็น
6.ผู้มีอำนาจปกครองบุตรได้กระทำผิดกฏหมาย ศาลพิพากษาลงโทษให้จำคุก จึงไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้

คดีรับรองบุตร

ขั้นตอนการยื่นคำร้องจดทะเบียนรับรองบุตรต่อศาล
บุตรที่เกิดจากหญิงที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับชาย บุตรนั้นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายหญิงแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์1546) ซึ่งทำให้บุตรเป็นบุตรนอกสมรสแม้ในใบสูติบัตรของบุตรระบุว่าชื่อ-สกุล บิดาก็ไม่ถือเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใดการที่จะให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดามีอยู่ 3 วิธี (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1547) ได้แก่
1.เมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง
2.เมื่อบิดาได้จดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตร (ในขณะที่บุตรและมารดาบุตรให้ความยินยอมได้) การรับรองบุตร เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาในบางกรณีบิดาและมารดาบุตรไม่ประสงค์ที่จะจดทะเบียนสมรสกัน แต่ประสงค์ที่จะให้ตนเป็นบิดาของบุตรโดยชอบด้วยกฏหมายเท่านั้น ทั้งนี้ บิดาสามารถจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรของตนได้ แต่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็ก โดยเด็กและมารดาต้องไปให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียนหากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือทั้งสองไม่อาจให้ความยินยอมได้ เช่น มารดาถึงแก่ความตาย หรือเด็กไม่อาจแสดงเจตนาให้ความยินยอมได้ เช่น อายุยังน้อยเกินไปไม่สามารถเข้าใจได้ การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรจึงต้องมีคำพิพากษาของศาล (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1548) โดยผู้ร้อง (บิดา) เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลหรือมารดายื่นคำฟ้องขอให้บิดารับรองบุตรต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
 
เอกสารที่ใช้ในการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร
1.บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้อง (บิดา) และมารดา พร้อมสำเนา 1 ฉบับ
2.ทะเบียนบ้านผู้ร้อง มารดา และบุตร ฉบับจริง พร้อมสำเนา 1 ฉบับ
3.สูติบัตรบุตร ฉบับจริง พร้อมสำเนา 1 ฉบับ
4.ใบมรณบัตรมารดา (กรณีมารดาเสียชีวิต) ฉบับจริง พร้อมสำเนา 1 ฉบับ
5.หนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล ของผู้ร้อง มารดา หรือบุตร (ถ้ามี) ฉบับจริงพร้อมสำเนา 1 ฉบับ
6.ใบสำคัญการหย่าของมารดา ฉบับจริง พร้อมสำเนา 1 ฉบับ (กรณีมารดาเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน)

คดีฟ้องหย่า

ฟ้องหย่าต้องฟ้องที่ศาลไหน ดำเนินคดีอย่างไรบ้าง
คดีฟ้องหย่านั้้นจะต้องฟ้องที่ ” ศาลเยาวชนและครอบครัว ” โดยสถานที่นั้นสามารถฟ้องได้ 2 ที่ด้วยกันก็คือ
1.ศาลสถานที่ที่มูลคดีเกิด
คำว่า “มูลคดี’ หมายถึงสถานที่ที่เกิดเหตุทำให้ฟ้องหย่านั่นเอง เช่นสถานที่ที่พบเห็นหรือเกิดการกระทำเป็นชู้ สถานที่ที่คู่สมรสทำร้ายร่างกาย สถานที่ที่เริ่มแยกกันอยู่ เป็นต้น หากว่ามูลคดีที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่าเกิดขึ้นที่ไหนเราก็สามารถฟ้องได้ที่ศาลนั้น เช่น พบเห็นการเป็นชู้ที่จังหวัดชลบุรี ก็สามารถฟ้องหย่าได้ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชลบุรี แม้ว่าคู่สมรสจะอยู่กินกันที่จังหวัดกรุงเทพฯก็ตาม
2.สถานที่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่  ที่จำเลยมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน คำว่าภูมิลำเนา หมายถึงสถานที่ที่จำเลยมีที่อยู่เป็นประจำหรือที่ปรากฏตามทะเบียนบ้าน คำว่าจำเลยในที่นี้หมายความรวมถึงตัวคู่สมรสที่เราฟ้องหย่า รวมทั้งตัวหญิงชู้หรือชายชู้ในกรณีที่เราฟ้องชู้ด้วย เช่น ตัวสามีมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จังหวัดกรุงเทพฯ ส่วนตัวชู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่พัทยา เหตุการณ์เป็นชู้เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ เช่นนี้เราสามารถฟ้องคดีได้ทั้งที่จังหวัดกรุงเทพฯซึ่งเป็นภูมิลำเนาของสามี รวมทั้งจังหวัดชลบุรีที่เป็นภูมิลำเนาของชู้ และที่เชียงใหม่ที่เป็นสถานที่มูลคดีเกิด
 
ในคดีฟ้องหย่า เรียกค่าเลี้ยงดูบุตร เรียกค่าเลี้ยงชีพได้หรือไม่ฟ้องหย่าลูกอยู่กับใคร
ในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรด้วยกัน เมื่อมีการฟ้องหย่าก็จะต้องมีการ พูดถึงหรือฟ้องเรื่องอำนาจปกครองบุตรเข้าไปด้วย ธรรมดาแล้วฝ่ายที่ฟ้องหย่าก็มักจะต้องการนำบุตรไปเลี้ยงด้วยตนเอง แต่ธรรมดาแล้วในคดีประเภทฟ้องหย่าอำนาจปกครองบุตรนี้ศาลจะไม่ได้กำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหรือเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว แต่ศาลมักจะกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันเลี้ยงดูบุตร แบ่งกันเลี้ยงดูเพราะจะเป็นวิธีที่เกิดประโยชน์แก่บุตรผู้เยาว์มากที่สุด และธรรมดาแล้วในประเด็นเรื่องอำนาจปกครองบุตรหรือการแบ่งกันเลี้ยงดูบุตรนั้น การพูดคุยเจรจาตกลงกัน ว่าจะแบ่งกันเลี้ยงดูอย่างไรย่อมจะเป็นประโยชน์มากกว่าการที่ให้ศาลเป็นคนกำหนด  ซึ่งมีจุดพิจารณาหลายจุดและต้องวางรูปคดีให้ดีในการฟ้อง

คดีละเมิดเรียกค่าเสียหาย

สิทธิเรียกร้องอันเกิดแต่มูลละเมิด
ความเป็นมา ความหมาย และทฤษฎีที่เกี่ยวกับการกําหนดค่าสินไหมทดแทน ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดกําหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ต้องเสียหาย จากการละเมิดได้รับการเยียวยาหรือทดแทนด้วยค่าเสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายกลับคืนสู่ฐานะเดิม ก่อนที่จะมีการละเมิด หรือในกรณีที่ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ก็ต้องได้รับการชดเชยด้วยการอื่นที่เพียงพอต่อความเสียหาย ซึ่งค่าสินไหมทดแทนมีความเป็นมา ความหมาย ประเภทของค่าเสียหาย และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
กฎหมายถือว่าผู้นั้นทำละเมิดจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้น (ป.พ.พ.มาตรา 420) การกระทำจะเป็นละเมิดต้องประกอบด้วยหลัก 3 ประการ
1. กระทำต่อบุคคลอื่นโดย ผิดกฎหมาย ซึ่งหมายถึงการประทุษกรรม กระทำต่อบุคคลโดยผิดกฎหมายด้วยอาการฝ่าฝืนต่อความหมายที่ห้ามไว้หรือละเว้นไม่กระทำ ในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติให้กระทำหรือตนมีหน้าที่ ตามกฎหมายจะต้องกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นต้นว่า ฆ่าเขาตาย, ทำร้ายร่างกายเขา,ขับรถโดยประมาทชนคนตายและทรัพย์สินของเขาเสียหาย ฯลฯ
2. กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ คือ ทำโดยรู้สำนึกและในขณะเดียวกันก็รู้ว่าจะทำให้เขาเสียหาย เช่น เจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้าย ฯลฯ อย่างไรก็ดี การกระทำโดยจงใจในเรื่องละเมิดถือหลักเบาบางกว่าทางอาญาสำหรับอาญานั้นต้องกระทำโดยรู้สึกสำนึกในการที่ทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลด้วยส่วนจงใจในเรื่องละเมิดบางกรณีไม่ผิดในทางอาญาแต่เป็นละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เขา.คำว่าประมาทเลินเล่อในทางแพ่งหมายความถึงการกระทำที่ขาดความระมัดระวังจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายนั้นและหมายความถึงการไม่ป้องกันผลที่เกิดขึ้นโดยประมาทเลินเล่อแม้ตนเองไม่ได้กระทำให้เกิดผลนั้นขึ้นระดับความระมัดระวังของบุคคลต้องถือระดับบุคคลธรรมดา
3. ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย โดยปกติผู้กระทำต้องรับผิดเฉพาะการกระทำของตนแต่อย่างไรก็ดีในเรื่องละเมิดถ้าได้มีการกระทำละเมิดร่วมกันหรือแม้มิได้ร่วมแต่เป็นผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการกระทำละเมิดดังนี้บุคคลเหล่านี้จะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายนั้น
ค่าสินไหมทดแทน เกิดจากการละเมิดที่ได้รับความเสียหาย ที่พึงได้รับนั้นถ้า ตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องดำเนินการ ฟ้องร้องต่อศาล และศาลจะกำหนดค่าสินไหมทดแทนโดยจะวินิจฉัยตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด
ปกติค่าสินไหมทดแทน ได้แก่ การคืนทรัพย์สินที่ผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะการละเมิดหรือใช้ราคาทรัพย์สิน รวมทั้งค่าเสียหายพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ ที่ได้ก่อขึ้นด้วย

คดีผิดสัญญาซื้อ-ขาย

สัญญาซื้อขาย คือ สัญญาต่างตอบแทนชนิดหนึ่ง มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ขายจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สิน ในฐานะคู่สัญญาซื้อขายต่างมีสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ดังนี้
ผู้ขาย มีสิทธิ - หน้าที่ คือ รับชำระราคา โอนกรรมสิทธิ์ ส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขาย ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่อง รอนสิทธิ ข้อสัญญายกเว้นความรับผิด
ผู้ซื้อ มีสิทธิ - หน้าที่ คือ รับมอบสินค้า ชำระราคา จัดการรับโอนกรรมสิทธิ์

คดีกู้ยืมเงิน

สาระสำคัญในคดีกู้ยืมเงิน
1. การกู้ยืมเงินกันกว่า 2,000 บาทขึ้นไป ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้เป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะนำคดีมาฟ้องร้องผู้กู้ต่อศาลให้บังคับดคีไม่ได้
2. การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว ลูกหนี้ได้ชำระหนี้แล้วควรจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่าง หนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นเวนคืนมายังฝ่ายผู้กู้แล้ว หรือได้แทงเพิก ถอนลงในเอกสารแห่งการกู้ยืมเงินนั้นแล้วด้วย เพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์ว่าหนี้ได้ชำระไปทั้งหมดหรือแต่บาง ส่วนไปแล้ว
3. การกู้ยืมเงินจะคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 หรือ 15 % ไม่ได้มิฉะนั้น ข้อตกลงในส่วนดอกเบี้ยจะตกเป็น โมฆะ
4. ถ้ามีดอกเบี้ยค้างชำระ จะเอาดอกเบี้ยนั้นทบกับต้นเงิน แล้วคิดดอกเบี้ยจากผลรวมนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะเป็น ดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และคู่สัญญากู้ยืมเงินตกลงกันให้ทำได้เป็นหนังสือ
5. คดีกู้ยืมเงินโดยส่วนใหญ่เป็นคดีที่ต้องมีเอกสารหรือหนังสือสัญญากู้มาแสดงในการสืบพยาน ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653

คดีเช่า-ซื้อรถยนต์

แนววินิจฉัยคดีเช่าซื้อ แผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา
๑. โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องว่าจำเลยผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้โดยแนบสัญญาเช่าซื้อมาท้ายฟ้อง ทางพิจารณาฟังได้ว่ารถที่เช่าซื้อสูญหายศาลกำหนดค่าเสียหายโดยอาศัยข้อสัญญาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยผู้เช่าซื้อกรณีรถที่เช่าซื้อสูญหายได้ ไม่ถือว่าเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น (ฎ.๑๔๕๗๘/๒๕๕๗)
 
๒. การกำหนดค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อกรณีรถที่เช่าซื้อสูญหาย แบ่งเป็นกรณีรถสูญหายเป็นความผิดของผู้เช่าซื้อและกรณีรถสูญหายไม่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ
   ๒.๑ กรณีรถสูญหายเป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ กำหนดค่าเสียหายโดยคิดจากราคารถที่แท้จริง หักด้วยราคารถที่ชำระไปแล้ว โดยไม่กำหนดส่วนที่เป็นเงินผลประโยชน์ให้ (มติที่ประชุมแผนกครั้งที่ ๖/๒๕๕๗)
   ๒.๒ กรณีรถสูญหายไม่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ กำหนดค่าเสียหายโดยคิดจากผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ให้เช่าซื้อต้องขาดหายไปจากการที่รถที่เช่าซื้อสูญหายเท่านั้น ไม่นำเงินลงทุนหรือราคารถมารวมคำนวณด้วย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ให้เช่าซื้อที่จะนำสืบค่าเสียหายอื่นๆ เช่น ค่าติดตามทวงถาม ค่าทนายความหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อนำสืบได้ ศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ (ฎ.๑๔๕๗๘/๒๕๕๗)
 
๓. ข้อสัญญาเช่าซื้อที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อโดยแบ่งความรับผิดของผู้ให้เช่าซื้อออกเป็นแต่ละกรณีไว้ต่างหากจากกัน ซึ่งเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๔(๔) ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๓๕ ทวิ แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกาศดังกล่าวออกมาเพื่อคุ้มครองให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคในการเข้าทำสัญญาเช่าซื้อ มิใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม(ฎ.๑๔๕๗๘/๒๕๕๗)
 
๔. โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการขายรถแล้วยังขาดราคาค่าเช่าซื้อและค่าขาดประโยชน์ เป็นกรณีเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเช่าซื้ออันเป็นผลมาจากการเลิกสัญญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความสิบปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๐ ซึ่งเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงผู้ให้เช่าซื้อย่อมอาจบังคับให้ผู้เช่าซื้อชดใช้ค่าขาดประโยชน์และราคารถส่วนที่ขาดได้นับแต่วันดังกล่าวตามมาตรา ๑๙๓/๑๒ ซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้ (ฎ.๒๗๔๒/๒๕๕๖)
 
๕. แม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์บอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาแล้ว แต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานการบอกกล่าวและบอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกันเพราะเหตุที่จำเลยผิดนัด การที่ผู้ให้เช่าซื้อมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนการบอกกล่าวทวงถามและการบอกเลิกสัญญา จำเลยผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าขาดราคาซึ่งเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้ออาจเรียกร้องได้ในกรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แต่เมื่อต่อมาผู้ให้เช่าซื้อติดตามรถกลับคืนมา โดยผู้เช่าซื้อไม่โต้แย้งคัดค้าน จึงรับฟังได้ว่าคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย คู่กรณีแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ.มาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง การที่จำเลยใช้รถที่เช่าซื้อก่อนเลิกสัญญาโดยไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อจำต้องใช้เงินเป็นค่าใช้ทรัพย์ให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตามมาตรา ๓๙๑ วรรคสาม พร้อมดอกเบี้ย ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเรื่องใดได้บ้างหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๑๔๒(๕) (ฎ.๒๗๔๒/๒๕๕๖)
 
๖. ขณะที่โจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญา จำเลยผู้เช่าซื้อยังผิดนัดไม่ครบจำนวนงวดที่โจทก์จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบและไม่มีผลให้สัญญาเลิกกัน ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยชอบ ส่วนจำเลยนำรถที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนโจทก์ก็ไม่ถือว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตาม ป.พ.พ.มาตรา ๕๗๓ เพราะจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อก่อนนำรถที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนโจทก์ แต่พฤติการณ์ที่จำเลยนำรถไปส่งมอบคืนและโจทก์นำรถออกประมูลขายถือได้ว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันอันเป็นการเลิกสัญญาเช่าซื้อกันเพราะเหตุอื่นคือสมัครใจเลิกสัญญา กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง โจทก์เรียกค่าขาดราคาไม่ได้ (ฎ.๒๓๒๙/๒๕๕๘)
 
๗. โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อขอให้บังคับตามสัญญาเช่าซื้อให้จำเลยส่งคืนรถ เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อ และเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๐ (มติที่ประชุมแผนกครั้งที่ ๔๔/๒๕๕๗, ฎ.๑๘๑๑๕/๒๕๕๗)
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก http://www.supremecourt.or.th/division/

คดีบัตรเครดิต

เรื่องน่ารู้ในคดีบัตรเครดิต
 
     ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบัน “เงินพลาสติก” หรือที่รู้จักกันดีในนาม บัตรเครดิต (Credit card) เป็นที่แพร่หลายอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะบัตรเครดิตสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตของคน ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่เพิ่มเป็นเงาตามตัวกับจำนวนผู้ใช้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น ก็คือ การผิดนัดชำระหนี้หรือกล่าวง่าย ๆ ว่ามีการชักดาบหนี้บัตรเครดิตเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ประเดิมเรื่องแรกสำหรับคอลัมน์นี้ จึงขอเลือกที่จะนำเสนอข้อกฎหมายอันเกี่ยวข้องในคดีบัตรเครดิต สำหรับประเด็นเรื่อง เขตอำนาจศาลและอายุความ ดังนี้ ประเด็นแรก : เขตอำนาจศาลในคดีบัตรเครดิต
 
     กรณีบัตรเครดิตนั้น มิได้มีบทบัญญัติของกฎหมายระบุเขตอำนาจศาลโดยเฉพาะไว้ ในการเสนอคำฟ้องต่อศาลจึงต้องใช้บทบัญญัติทั่วไปเรื่องเขตอำนาจศาลตามมาตรา 4 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ การเสนอคำฟ้องสามารถเสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิด โดยมิจำต้องคำนึงถึงภูมิลำเนาจำเลย สำหรับฎีกาที่นำเสนอนี้ โจทก์เลือกที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิด ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ คำว่า “มูลคดี” หมายความว่าอย่างไร เพื่อที่จะนำเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ถูกต้องต่อไปได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ (ประชุมใหญ่) 7788/2546
 
     “คำว่า “มูลคดี” หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ดังนั้น การที่ธนาคารโจทก์ฟ้องว่า ในทางบัญชีหลังจากจำเลยได้ทำสัญญาและรับบัตรเครดิตไปจากโจทก์ จำเลยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและบริการหลายครั้งหลายหน ซึ่งในสำเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตระบุว่า สถานที่รับบัตรเครดิตคือธนาคารโจทก์สาขาหนองคาย มิใช่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ การอนุมัติและการออกบัตรเครดิตจึงเป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติระหว่างโจทก์สำนักงานใหญ่กับสาขาหนองคาย เมื่อจำเลยทำสัญญาและรับบัตรเครดิตจากโจทก์สาขาหนองคายอันเป็นขั้นตอนสุดท้าย ที่จำเลยจะสามารถนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการจนเป็นเหตุพิพาท ซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิและมูลหนี้ตามฟ้อง หากปราศจากเหตุและขั้นตอนสุดท้ายดังกล่าว โจทก์และจำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่อกัน ดังนั้น มูลคดีนี้จึงมิได้เกิดในเขตศาลชั้นต้นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของโจทก์ แต่เกิดในเขตศาลที่ธนาคารโจทก์สาขาหนองคายตั้งอยู่ ”
ประเด็นสำคัญสำหรับฎีกานี้ คือ ความหมายของคำว่า “มูลคดี” ซึ่งหมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ซึ่งศาลฎีกาได้วางแนวสำหรับกรณีบัตรเครดิตไว้ว่า สถานที่ที่จำเลยทำสัญญาและรับบัตรเครดิตจากโจทก์ คือ สถานที่ ที่มูลคดีเกิด เนื่องจากถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จำเลยจะสามารถนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการจนเป็นเหตุพิพาท ซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิ มิใช่สำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นเพียงสถานที่อนุมัติและออกบัตรเครดิตอันเป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติภายในของธนาคารโจทก์เท่านั้น ประเด็นที่สอง : การเริ่มนับอายุความและอายุความสำหรับคดีบัตรเครดิต
 
     การเริ่มนับอายุความและอายุความสำหรับคดีบัตรเครดิตนั้นยังคงมีความสับสนอยู่มากในประเด็นว่า อายุความจะเริ่มนับเมื่อใดและมีอายุความกี่ปี ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งเนื่องจากสิทธิเรียกร้องใด ๆ ก็ตามถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือได้ว่าสิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความและลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ ทั้งนี้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความเมื่อใดนั้น ศาลฎีกาได้วางแนวไว้ว่า หนี้บัตรเครดิตไม่จำต้องมีการทวงถามหรือบอกเลิกสัญญาก่อน โจทก์สามารถบังคับให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวได้ทั้งหมดทันที ผลคือ อายุความย่อมเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 193/12 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น คดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว ครั้นถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระอายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป เว้นแต่ เป็นกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้หรือชำระหนี้ให้บางส่วน เป็นต้น ในส่วนระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนหน้าที่อายุความสะดุดหยุดลงนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และจะเริ่มนับอายุความใหม่ต่อเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดทั้งนี้ตามมาตรา 193/15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
อายุความคดีบัตรเครดิตนั้น ศาลฎีกาถือว่าบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตมีวัตถุประสงค์ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิต ซึ่งจะออกบัตรให้แก่สมาชิกเพื่อให้สมาชิกนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตร โดยไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดเพราะบริษัทจะเป็น ผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินในภายหลัง ประกอบกับการที่บริษัทได้เรียกเก็บ ค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีจากสมาชิก บริษัทจึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและได้เรียกเอาค่าที่บริษัทได้ออกเงินทดรองไป จึงเป็นกรณีตามมาตรา 193/34 (7) ซึ่งกำหนดให้สิทธิเรียกร้องในกรณีดังกล่าว มีอายุความสองปี และเพื่อให้เกิดความชัดเจนขอยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2547 ประกอบการพิจารณาในประเด็นนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2547
 
     “จำเลยที่ 1 ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2539 และชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายในวันที่ 21 สิงหาคม 2539 ซึ่งตามใบแจ้งยอดการใช้บัตรเครดิตได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2539 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์ย่อมบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ได้ทั้งหมดทันที โดยไม่ต้องมีการทวงถามหรือบอกเลิกสัญญาก่อน อายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไป
จำเลยที่ 2 ใช้บัตรเสริมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2540 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ตามใบแจ้งยอดการใช้บัตรเครดิตกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 5 มีนาคม 2540 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระ โจทก์ย่อมบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่จำต้องทวงถามหรือบอกเลิกสัญญาก่อน อายุความสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเริ่มนับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2540 เป็นต้นไป
โจทก์มีวัตถุประสงค์ให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิตโดยออกบัตรให้แก่สมาชิก แล้วสมาชิกสามารถนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ตกลงรับบัตร โดยไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสด โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง ซึ่งโจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป จึงมีอายุความสองปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7)
ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วม มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 1 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน ศาลจึงพิพากษายกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยได้ ”
 
     เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในคดีบัตรเครดิตที่นำเสนอนี้ ผู้ใดจะนำไปใช้ผู้เขียนก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด แต่อยากจะฝากข้อคิดสักนิดว่า หากท่านใช้จ่ายแต่พอตัวแล้วละก็ รับรองได้ว่าจะไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่องใช้หนี้ใช้สินใครแน่นอน
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.led.go.th/vichakarn/creditcard.asp

คดีบุกรุก

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓
 
มาตรา ๓๖๒  ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
มาตรา ๓๖๓  ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

คดีทำร้ายร่างกาย

อายุความคดีทำร้ายร่างกาย และโทษ
 
1.การทำร้ายร่างกายธรรมดา เช่น การตบ ต่อย ตี ที่ไม่ได้เกิดบาดเจ็บร้ายแรง หรือได้รับผลกระทบทางจิตใจ ถือเป็นความผิดลหุโทษ ตามมาตรา 391 มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท มีอายุความหนึ่งปี ตามที่เพิ่งบังคับใช้เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2558 (แต่ก่อนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท)
 
2.หากมีการทำร้ายจนถึงขึ้นบาดเจ็บหนัก ถึงขั้นฟกช้ำ นับเป็นการทำร้ายโดยเจตนา ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บทางกายและจิตใจ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 มีโทษจำคุกไม่เกินสองปี ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท มีอายุความไม่ต่ำกว่าสิบปี
 
3.ทำร้ายร่างกายรุนแรงถึงขั้นสาหัส มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 มีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท มีอายุความไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี
 
ถึงแม้ว่าอายุความจะมากเป็นหลายสิบปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากปล่อยคดีเอาไว้นานโดยไม่ได้ดำเนินการต่อ ก็เป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐานมาดำเนินคดีต่อได้ เพราะหลักฐานสำคัญอาจสูญหาย ถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาพิสูจน์ความจริงได้ จนในท้ายที่สุดแล้ว คดีความก็อาจถูกตัดสินยกฟ้อง

คดีฉ้อโกง

การฉ้อโกง เป็นอาชญากรรมที่มุ่งต่อทรัพย์สิน ซึ่งกระทำโดยเจตนาทุจริตและมีพฤติกรรมหลอกลวง และมีความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งผู้กระทำความผิดจะต้องมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้ชัดเจน และต้องมีเจตนานี้มาตั้งแต่ต้น โดยที่ผลของการหลอกลวงทำให้ผู้กระทำความผิดได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ที่ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ

คดีลักทรัพย์

สำหรับเรื่องอายุความ คดีลักทรัพย์นั้น ทั้งกรณีลักทรัพย์บุคคลทั่วไปและลักทรัพย์นายจ้างมีระวางโทษจำคุกเกิน 1 ปีแต่ไม่เกิน 7 ปี กฎหมายจึงกำหนดให้มีอายุความ 10 ปีนับแต่วันกระทำความผิด(รู้ตัวผู้กระทำความผิด) ตามมาตรา 95 (3) ประมวลกฎหมายอาญา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากท่านล่าช้า พยานหลักฐานอาจรวบรวมและพิสูจน์ได้ยาก ดังนั้นท่านควรรีบแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ หรือ ติดต่อทนายความทันทีเพื่อดำเนินคดีต่อไปโดยเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ท่านได้รับค่าเสียหายจากเหตุลักทรัพย์ได้เร็ว

ครม. ไฟเขียวลดค่าธรรมเนียมโอนของธนาคารที่ดินเหลือ 0.01% ถึง 7 มิ.ย.68

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. ซึ่งเป็นไปตามนโยบายกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจนและให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เหมาะสม โดย บจธ.ได้ดำเนินงานผ่าน 2 โครงการ คือ โครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน และโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน
 
สาระสำคัญของร่างประกาศฯ ดังกล่าว้ป็นการลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของ บจธ.เกี่ยวกับค่าจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ จากอัตรา 2% และ 1% เหลืออัตรา 0.01% ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 7 มิ.ย.68
 
“การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของ บจธ.ในปีงบประมาณ 2565-2568 คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณหลายหมื่นล้านบาท แต่จะเป็นโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยลดค่าใช้จ่ายการจดทะเบียนและการทำนิติกรรมของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม และยั่งยืนแก่ประชาชนตามนโยบายรัฐบาล” น.ส.รัชดา ระบุ
 
สำหรับ บจธ.จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 เพื่อทำหน้าที่กระจายการถือครองที่ดินให้ประชาชนอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน โดยมีเป้าประสงค์ช่วยให้เกษตรกรและผู้ยากจนได้ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างทั่วถึง และรัฐสามารถนำที่ดินที่ไม่มีการใช้ประโยชน์มาบริหารจัดการให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
 
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา สามารถกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนให้แก่เกษตรกรและผู้ยากจนได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสม รวมเนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ สามารถแก้ปัญหาที่ดินของเกษตรกรที่หลุดการจำนองและการฝากขายได้กว่า 3,000 ไร่ รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนจัดการที่ดินร่วมกัน ทั้งที่ดินทำกิน และที่ดินอยู่อาศัยในรูปแบบโฉนดชุมชนด้วย
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.sanook.com/money/874847/

ข่าวดี! กยศ.ขยายเวลาลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน ถึง 30 มิ.ย.66

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้หนี้ภาคครัว โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยเป็นอย่างมาก ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เป็นหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งทางกยศ.ได้กำหนดมาตรการในการช่วยเหลือ อาทิ การลดเบี้ยปรับ การลดเงินต้น รวมถึงได้ดำเนินการอื่นๆ เช่น ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกัน ชะลอการฟ้องร้องคดี งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินและหรือผู้ค้ำประกัน
 
ล่าสุด กยศ. ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้อีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 65 ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุน รวมถึงช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มีทางเลือกในการผ่อนชำระมากขึ้น สำหรับมาตรการลดหย่อนหนี้ มีดังนี้
1. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิม 1% ต่อปี เป็น 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้
2. ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว
3. ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ หรือไม่ค้างชำระ
4. ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
5. ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี
ผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ https://www.studentloan.or.th/promotion โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
 
ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดช่องทางการชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการดังกล่าวได้ที่ www.studentloan.or.th โดยตรวจสอบยอดชำระได้ที่แอปพลิเคชั่น กยศ. Connect หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. หรือโทร. 0-2016-4888
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.sanook.com/money/890995/

หนี้ท่วมหัว! เอาตัวให้รอด แนะวิธีรวมหนี้ช่วยลดภาระ

หลายคนมีหนี้ที่ต้องจ่ายรายเดือนรวมกันแล้วเยอะมาก ทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้เงินกู้ส่วนบุคคล หมุนเงินกันมือเป็นระวิง บางคนจำได้แค่ขั้นต่ำ ทำให้โอกาสหลุดจากการเป็นหนี้นั้นยากมาก ดังนั้น การรวมหนี้ คือ หนทางออกของคนที่กำลังรู้สึกว่าจะแบกหนี้ที่มีอยู่ต่อไปไม่ไหว
 
ซึ่งการรวมหนี้ในที่นี้ คือการที่เรานำหนี้ที่เรามีอยู่จากหลาย ๆ ที่ทั้งในและนอกระบบ หรือจากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ เอามารวมไว้ที่เดียวกัน เพื่อขออนุมัติสินเชื่อกับสถาบันการเงินในระบบมาปิดหนี้ดอกแพงทั้งหมดนี้ทันที แล้วมาเลือกผ่อนเป็นรายงวดคืนให้กับธนาคารด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจในการปิดหนี้
 
โดยหนี้ที่ควรนำมารวมเป็นก้อนเพื่อจ่ายเพียงยอดเดียวนั้นควรเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้ที่ต้องจ่ายเพื่อการรักษาพยาบาล หรือหนี้จากการกู้เงินส่วนบุคคล เนื่องจากหนี้เหล่านี้มีดอกเบี้ยที่แพง และถ้าสามารถรวมเป็นก้อนเดียวได้ จะทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทุกเดือนนั้นลดลง และในเวลานี้ก็มีหลายธนาคารปล่อยให้กู้เพื่อนำมาโปะหนี้ และทำให้หนี้ที่คุณมีอยู่กลายเป็นหนี้ก้อนเดียว ทำให้คุณสามารถหายใจต่อเดือนได้มากขึ้น ส่วนเหตุผลที่คุณควรจะรวมหนี้เพื่อให้เป็นหนี้ก้อนเดียวนั้นมีอะไรบ้างมาดูกัน
 
ช่วยลดดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือน
หากคุณมีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ และไม่สามารถชำระได้เต็มจำนวน หรือจ่ายได้เฉพาะขั้นต่ำ การรวมหนี้คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นวิ่งตลอด และเงินที่คุณนำไปชำระขั้นต่ำนั้นไม่ได้ชำระดอกเบี้ยสักเท่าไร แต่การรวมหนี้ให้เหลือเพียงก้อนเดียวจะลดดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือนด้วย
 
ช่วยลดการชำระหนี้ต่อเดือน
หากคุณมีบัตรเครดิตอยู่สี่ใบ และชำระขึ้นต่ำทุกใบ ตกใบละ 3,000 บาท เท่ากับคุณต้องจ่ายต่อเดือน 9,000 บาท แต่ถ้าคุณรวมหนี้ทั้งสามใบเป็นก้อนเดียว และชำระเฉพาะเงินที่กู้มาก้อนนี้ โดยที่หยุดการใช้บัตรเครดิตด้วย จะทำยอดชำระต่อเดือนของคุณลดลง และทำให้คุณมีช่องที่จะเหลือเพื่อหายใจได้บ้าง
 
ลดความซับซ้อนในการชำระหนี้
การเป็นหนี้ในแต่ละรูปแบบนั้นมีวิธีการคำนวนดอกเบี้ยที่แตกต่างกันไป บางครั้งก็จะยุ่งยากในการนำเงินไปชำระ เมื่อรวมหนี้เป็นก้อนเดียวจะทำให้เรื่องเหล่านี้หมดไป และทำให้คุณควบคุมหนี้สินของตนเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีหลายธนาคารที่ต่างจัดโปรโมชันลดดอกเบี้ยสำหรับลูกค้า ที่อยากรวมหนี้ไว้ก้อนเดียวซึ่ง Tonkit360 ได้รวบรวมมาให้แล้วดังนี้
 
ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต
ช่วยเหลือลูกค้าที่มีภาระหนี้ดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบุคคล ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 16-25% ต่อปี เพียงแค่รวบหนี้มาอยู่กับ ทีทีบี โดยใช้บ้านหรือรถมาค้ำประกัน เพื่อช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ด้วย “สินเชื่อบ้านแลกเงิน เคลียร์หนี้” ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 4.83% ต่อปี ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นเพียงล้านละ 5,900 บาท หรือ “สินเชื่อรถแลกเงิน เคลียร์หนี้” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 3.20% ต่อปี ผ่อนเบา ๆ เพียงแสนละ 59 บาทต่อวัน โดยตั้งแต่เปิดให้บริการดังกล่าวนี้ ทาง ทีทีบี ได้ช่วยรวบหนี้ให้แก่ลูกค้าไปแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท ช่วยลดภาระค่าดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 180 ล้านบาท
 
บริการรวบหนี้เป็นก้อนเดียวกับทีทีบี มีจุดเด่นที่แตกต่างจากบริการสินเชื่ออื่น ๆ
1.การพิจารณาสินเชื่อครั้งนี้จะไม่นำภาระหนี้ที่ต้องการจะรวบมาคิดภาระหนี้ซ้ำ ลูกค้าจึงเบาใจได้ว่าแม้มีภาระหนี้สูงก็สามารถใช้บริการนี้ได้
2. มีบริการปิดหนี้กับสถาบันการเงินเดิมให้ลูกค้าหลังจากที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว จึงช่วยปิดหนี้ได้ตามที่ตั้งใจไว้
3. ลูกค้าเหลือหนี้ทางเดียวกับ ทีทีบี ที่ดอกเบี้ยถูกลง ค่างวดลดลง ช่วยลดภาระหนักจากค่างวดแต่ละเดือน ทำให้มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายกับเรื่องจำเป็นได้มากขึ้น หรือกรณีที่มีเงินเหลือจากรวบหนี้แล้ว ลูกค้าจะได้รับเงินก้อนเข้าบัญชีเพื่อใช้เสริมสภาพคล่องในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
 
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
บริการรวมยอดสินเชื่อบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ดอกเบี้ยต่ำ รวมยอดสินเชื่อไว้ที่เดียว ครบจบกับบริการ Balance Transfer จากเฟิร์สช้อยส์ ลดภาระ อนุมัติไว ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน รับดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 12.99 % ต่อปี** และรับกระเป๋าเดินทาง Caggioni ขนาด 20 นิ้ว 1 ใบ มูลค่า 4,500 บาท***
 
ธนาคารยูโอบี
สินเชื่อปิดบัตรเครดิต UOB เป็นสินเชื่อที่ให้วงเงินกู้สูงสุด 2,000,000 บาท พร้อมรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5.99-9.99% (2 เดือนแรก) ตามเงื่อนไขที่กำหนด อนุมัติภายใน 3 วัน หลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน หรือหากใครเปลี่ยนใจไม่ต้องการใช้เงินแล้วก็สามารถยกเลิกวงเงินได้ภายใน 7 วัน หลังได้รับอนุมัติ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม อายุผู้สมัคร 20-60 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.99-24.99% ต่อปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
 
ธนาคารออมสิน
อีกหนึ่งสินเชื่อปิดบัตรเครดิต ธนาคารออมสิน 2565 ที่หลายคนสนใจ เพราะกู้ง่าย ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และให้วงเงินกู้สูงสุด 10 เท่าของรายได้ ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 7 ปี วงเงินให้กู้ สูงสุด 10 เท่าของรายได้ หรือไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 9.99% (MRR + 3.745) ถึง 13.99% (MRR + 7.745) ต่อปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
 
ทั้งหมดนี้คือข้อดีของการทำให้หนี้เป็นก้อนเดียว ซึ่งจะทำให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของตนเองได้ สามารถแบ่งเงินเก็บเอาไว้ยามฉุกเฉินได้เพราะไม่ต้องชำระหนี้หลายทาง แต่เหนืออื่นใด เมื่อคิดจะรวมหนี้เป็นก้อนเดียวและไปทำเรื่องกู้กับสถาบันการเงิน คุณต้องมีการวางแผนทางการเงินที่ดี และมีวินัยทางการเงินมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้ว การรวมหนี้ให้เหลือเพียงก้อนเดียว อาจเป็นการเพิ่มหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นมาอีกก้อนก็ได้
 
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.sanook.com/men/82069/